ในปัจจุบันอิฐมวลเบาเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในวงการก่อสร้างบ้านเรา ในช่วง 10 ที่ผ่านมาด้วยคุณสมบัติพิเศษ คุณประโยชน์ที่เหนือกว่าอิฐมอญและบล็อกซีเมนต์ หลายๆประการ เช่น
1 น้ำหนักเบา ก้อนใหญ่ ตัดแต่งง่าย ก่อสร้างไว ประหยัด ไม่สกปรกเลอะเทอะ
2 กันไฟ ไม่สะสมความร้อน เป็นฉนวนที่ดี
3 การผลิตควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ผลิตได้อย่างต่อเนื่อง มีมาตรฐานอุตสาหกรรม
4 การจัดส่งสะดวกรวดเร็ว และเกิดความเสียหายต่อสินค้าไม่มาก
5 มีบริการหลังการขาย มีข้อมูลรายละเอียดวิศวกรรมประกอบ
แต่ถึงอย่างไร ในผู้รับเหมาบางรายก็ยังขาดความเข้าใจที่ลึกซึ้งเพียงพอ ทำให้เกิดปัญหาที่ตามมาภายหลัง เช่น การเลือกใช้วัสดุที่มีราคาถูก ตามท้องตลาดทั่วไป เพราะเข้าใจว่าเป็นอิฐมวลเบาเหมือนกันคงมีคุณสมบัติเหมือนกัน แท้ที่จริงแล้ว ในท้องตลาดมีทั้งอิฐมวลเบาของแท้และของเทียมกว่าอีก 10 ชนิด
อิฐมวลเบาเทียมเป็นอย่างไร
อิฐมวลเบาที่เป็นของเทียม จะมีคุณภาพต่ำมาก อาจเลียนแบบได้แค่น้ำหนักเบา แต่คุณสมบัติอื่นๆไม่สามารถเลียนแบบ ได้ตามมาตรฐานอุตสหกรรม ส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตรายใหม่ๆ ที่ผลิตจากเครื่องเรียนแบบนำมาประกอบเอง ดัดแปลงวัสดุบ้าง เช่น ยัดโฟม, ทำให้มีรูกวง หรือใช้ระบบแสงอาทิตย์ ซึ่งตามกำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) กำหนดไว้เลยว่าตต้องอบไอน้ำยึดหดตัวต่ำเพื่อให้ได้มาตรฐานเดียวกับเยอรมัน พูดง่ายๆอิฐมวลเบาตามท้องตลาดที่ไม่ได้ผ่านการอบไอน้ำตามมาตรฐานมอก. ถือว่าไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ เมื่อนำไปใช้ในการก่อสร้างก็จะทำให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง เช่น เกิดการแตกร้าวจากการยืดหดตัว ฉาบไม่ติดเกิดการรั่วซึมของน้ำ เกิดเชื้อราดำ ขาดความแข็งแรงตอกเจาะไม่ได้ ใช้งานไปนานๆเกิดการยุ่ย ผุพังทลายในที่สุด
อิฐมวลเบาของแท้เป็นอย่างไร
ปัจจุบันประเทศไทยใช้มาตรฐานอุตสาหกรรมอ้างอิงกับมาตรฐานเยอรมัน NIN 4165 ใช้ชั้นคุณภาพเป็นตัววัดความแข็งแกร่งของอิฐมวลเบา ในต่างประเทศจะระบุชั้นความแข็งแกร่งลงไปในแบบตรงๆเลย เช่น " DIN 4165-G4-0.7x200x600x75" หมายความว่า " อิฐมวลเบาชนิดอบไอน้ำ ชั้น 4 ความหนาแน่น 700 kg/ ล.บ.ม. ขนาด 20 ซม.x60 ซม. หนา 7.5 ซม." โดยแบ่งเป็นชั้นเกรดคุรภาพ 2,4,6,8 ชั้น
ชั้น G2 ความหนาแน่น 400-500 kg/ล.บ.ม.
ชั้น G4 ความหนาแน่น 600-700 kg/ล.บ.ม.
ชั้น G6 ความหนาแน่น 700-800 kg/ล.บ.ม.
ชั้น G8 ความหนาแน่น 800 kg/ล.บ.ม. ขึ้น
ในประเทศไทยอิฐมวลเบาอบไอน้ำมีเพียง 2 ชนิดเท่านั้น ที่ได้ มอก. 1505 - 2541 คือ มาตรฐาน มอก. ชั้นคุณภาพ G2 และ G4 โดยชั้นคุณภาพ G4 ความหนาแน่น 600-700 kg/ล.บ.ม. ถือเป็นชั้นคุณภาพสูงสุดที่ผลิตได้ในประเทศไทย ปัจจุบันมีเพียง 2 บริษัทเท่านั้นที่สามารถผลิตชั้นคุณภาพ G4 ได้ และ อิฐมวลเบา THAICON ก็เป็นหนึ่งใน 2 บริษัท เช่นกัน ส่วน ยี่ห้ออื่นผลิตอยู่ที่ ชั้นคุณภาพ G2 ความหนาแน่นต่ำกว่า 500 kg/ล.บ.ม. ชั้น G4 จะมีวัตถุดิบมากกว่า ชั้น G2 ถึง 20% จึงมีความแข็งแรงรับแรงอัดได้ถึง 50 กก./ตร.ซม. มากกว่า ชั้น G2 ถึง 100% ซึ่งรับแรงอัดได้แค่ 25 กก./ตร.ซม
ผลที่ตามมาของการเลือกใช้อิฐมวลเบาชั้นคุณภาพ G2 คือ
1. ผนังไม่แข็งแรง
2. ยึดพุกไม่แข็งแรง
3. กันไฟได้น้อย
4. นำความร้อนมากกว่า G4
5. ปูนฉาบแตกร้าวร่อน เนื่องจากปูนฉาบสูญเสียน้ำไปเร็ว
6. Strength ต่ำกว่าปูนฉาบมากๆ
ผู้รับเหมาบางราย ก็ใช้วิธีแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ โดยติดวอร์เปเปอร์ทับรอยแตกร้าว หรือฉีดน้ำที่ผนังจนโชกเพื่อให้ปูนฉาบแห้งช้า ผลที่มาก็คือ ผนังอุ้มน้ำจนทาสีไม่ได้ บางครั้งทาสีไป 3-6 เดือน ผนังคายความชื้นออกมาทำให้เกิดเชื้อราประเภทPleurotus Sajor-Caju (FA) Singer เป็นดวงเป็นด่าง บนผนังได้ เห็นหรือยังว่า แท้ที่จริงแล้วอิฐมวลเบาที่เห็นว่าตามท้องตลาดไม่ได้มีคุณสมบัติเหมือนกันทุกประการ
ดังนั้น เพื่อประโยชน์ที่คุ้มค่าต่อการลงทุน "ถ้าเป็นเรื่องอิฐมวลเบา ต้องยกให้เรา THAICON" อิฐมวลเบาระบบอบไอน้ำชั้นคุณภาพ G4 มาตรฐาน มอก. 1505 - 2541 มีบริการหลังการขายและการจัดส่งสินค้าที่มีคุณภาพ จากทีมเทคนิคและขนส่งที่ตรงถึงมือท่านด้วยบริการที่สุดแสนประทับใจ
|